Page 59 - J Trad Med 21-1-2566
P. 59

J Thai Trad Alt Med                                    Vol. 21  No. 1  Jan-Apr  2023  39




            แดง) ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา ระยะเวลาใน  ลดพิษที่เกิดจากการตกค้างของสารเคมีก�าจัดศัตรู
            การใช้สารเคมีก�าจัดศัตรูพืช/ครั้ง ความรู้เกี่ยวกับการ  พืชในเกษตรกร ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาเรื่อง

            ใช้สารเคมีก�าจัดศัตรูพืช และการใช้สมุนไพรย่านาง  เปรียบเทียบประสิทธิผลในการเพิ่มระดับเอนไซม์
            แดง พบว่า การใช้สมุนไพรย่านางแดงมีความสัมพันธ์  โคลีนเอสเทอเรสในกระแสเลือด ระหว่างสมุนไพร
            กับระดับเอนไซม์ (p-value = 0.005) และหลังการใช้  รางจืดและย่านางแดงในกลุ่มเกษตรกร 2 กลุ่ม พบ

            สมุนไพรย่านางแดงกลุ่มชาชงไม่มีกลุ่มตัวอย่างที่มีค่า  ว่า ระดับเอนไซม์โคลีนเอสเทอเรสหลังใช้สูงกว่าก่อน
            ระดับเอนไซม์ที่ผิดปกติ (n = 0) ท�าให้กลุ่มตัวอย่างมี  ใช้สมุนไพรรางจืดและย่านางแดง อย่างมีนัยส�าคัญ
            ระดับเอนไซม์โคลีนเอสเทอเรสมากกว่ากลุ่มการอบ  ทางสถิติ (p < 0.001) [11]

            และกลุ่มควบคุม ตามล�าดับ (ร้อยละ 100.00 , 80.00      2.  ความแตกต่างของเอนไซม์โคลีนเอสเทอเรส
            และร้อยละ 74.19)                            ก่อนและหลังการใช้สมุนไพรย่านางแดงระหว่าง
                 6.  ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเสี่ยงต่อสุขภาพในการ  กลุ่มชาชง กลุ่มการอบ และกลุ่มควบคุม พบว่า หลัง

            ท�างานในเกษตรกรที่สัมผัสสารก�าจัดศัตรูพืช   ใช้สมุนไพรย่านางแดงกลุ่มชาชง มีระดับเอนไซม์
                 จากตารางที่ 9 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระดับ  โคลีนเอสเทอเรสเพิ่มขึ้นมากกว่ากลุ่มการอบ และ

            ความเสี่ยงต่อสุขภาพในการท�างาน ได้แก่ เพศ อายุ   กลุ่มควบคุม อย่างมีนัยส�าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001
            ระดับการศึกษา ระยะเวลาในการใช้สารเคมีก�าจัดศัตรู  เนื่องจากยังไม่มีงานวิจัยใดที่ได้ท�าการทดลองในเรื่อง
            พืช/ครั้ง ความรู้เกี่ยวกับการใช้สารเคมีก�าจัดศัตรูพืช   การน�าสมุนไพรย่านางแดง มาศึกษาระหว่างการอบ

            และการใช้สมุนไพรย่านางแดง พบว่า ทุกปัจจัยไม่มี  และการรับประทานในการล้างสารพิษ แต่จากผลการ
            ความสัมพันธ์กับระดับความเสี่ยงต่อสุขภาพในการ  ทดลองที่เกิดขึ้นอาจตั้งสมมติฐานได้ว่า รูปแบบของ

            ท�างาน                                      การจัดการกับสารพิษที่เข้าสู่ร่างกายในกระแสเลือด
                                                        เมื่อพูดถึงหลักการทางเภสัชจลนศาสตร์ รูปแบบการ
                           อภิปรำยผล                    ขับของเสียผ่านทางไตและตับจากการใช้สมุนไพร ใน


                 1.  ระดับเอนไซม์โคลีนเอสเทอเรสระหว่างก่อน  รูปแบบชาชงสามารถขับสารพิษได้ดีกว่าในรูปแบบ
            และหลังใช้สมุนไพรย่านางแดงกลุ่มชาชง พบว่า ระดับ  การอบ อย่างไรก็ตามผลการศึกษามีสอดคล้องกับ
            เอนไซม์โคลีนเอสเทอเรสหลังใช้สูงกว่าก่อนใช้ อย่าง  งานวิจัยเกี่ยวกับสารสกัดจากสมุนไพรย่านางแดง

            มีนัยส�าคัญทางสถิติ (p < 0.001) ทั้งนี้เป็นเพราะว่า  เรื่องประสิทธิผลในการลดปริมาณสารเมทโธมิลที่
            สรรพคุณของย่านางแดงตามภูมิปัญญาการแพทย์     ปนเปื้อนในถั่วฝักยาว โดยการแช่น�้าที่มีสารสกัดจาก
            พื้นบ้านและการแพทย์แผนไทยนิยมใช้ใบ ต้น และ  รางจืดและย่านางแดง พบว่า ย่านางแดงสดที่สกัดด้วย

            รากย่านางแดงในการล้างพิษ หรือถอนพิษสารตกค้าง  น�้าและย่านางแดงแห้งที่สกัดด้วยน�้ามีความแตกต่าง
            ออกจากร่างกาย โดยฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของย่านาง  กันอย่างมีนัยส�าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (p-value

            แดงมีฤทธิ์ต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่น มีสารประกอบ  < 0.001) ย่านางแดงสดที่สกัดด้วยน�้าและน�้าประปา
            ส�าคัญคือ ฟีนอลิก มีสรรพคุณในการถอนพิษสาร   มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยส�าคัญทางสถิติที่ระดับ
            ตกค้างจากยาฆ่าแมลงทางการขับปัสสาวะ จึงเป็นการ  0.05 (p-value < 0.001) และย่านางแดงแห้งที่สกัด
   54   55   56   57   58   59   60   61   62   63   64