Page 115 - J Trad Med 21-1-2566
P. 115
J Thai Trad Alt Med Vol. 21 No. 1 Jan-Apr 2023 95
(ร้อยละ 36.70) และปริญญาตรี 35 คน (ร้อยละ 63.30) 1.1 การประเมินประสิทธิผลการน�ารูปแบบ
ตามล�าดับ
ตารางที่ 2 ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับความเป็นไปได้ของของกลุ่มตัวอย่างทีมสหวิชาชีพ ผู้ใช้รูปแบบใน
การดูแลรักษาผู้ป่วย จ�าแนกตามระดับความเป็นไปได้ในการน�ารูปแบบไปใช้โดยรวม (n = 55)
ระดับความ
ลําดับ ความเป็นไปได้ในการนํารูปแบบไปใช้ Mean ± S.D.
เป็นไปได้
1 มีความสะดวกและง่ายต่อการน�าไปใช้ 2.22 ± 0.65 ปานกลาง
2 มีความชัดเจนของข้อเสนอแนะในแนวปฏิบัติ 2.81 ± 0.63 มาก
3 มีความเหมาะสมต่อการน�าไปใช้ในหน่วยงาน 2.71 ± 0.54 มาก
4 ประหยัด ลดต้นทุนด้านก�าลังคน เวลา และงบประมาณ 2.75 ± 0.73 มาก
5 รูปแบบการดูแลรักษาสามารถแก้ปัญหาและเกิดผลดีต่อผู้รับบริการ 2.96 ± 0.77 มาก
6 ความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติที่จะน�าไปใช้ในหน่วยงาน 2.89 ± 0.55 มาก
รวม 2.80 ± 0.76 มาก
ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นไปใช้ พบว่า มีระดับความเป็นไป การแพทย์แผนไทยและสมุนไพร ก่อนและหลังพัฒนา
ได้ในภาพรวมระดับมาก (ตารางที่ 2) ระบบ พบว่า ความพึงพอใจของทีมสหวิชาชีพต่อ
1.2 ความพึงพอใจของทีมสหวิชาชีพต่อ ระบบการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายด้วย
ระบบการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ด้วย การแพทย์แผนไทยและสมุนไพรหลังการพัฒนาระบบ
ตารางที่ 3 เปรียบเทียบความพึงพอใจของสหวิชาชีพต่อรูปแบบการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ด้วยการแพทย์
แผนไทยและสมุนไพร (n = 55)
การประเมิน Mean ± S.D. t-test df p-value
ก่อนพัฒนารูปแบบ 3.02 ± 0.22 10.23 35 0.001*
หลังพัฒนารูปแบบ 4.12 ± 0.18
สูงกว่าก่อนพัฒนาระบบอย่างมีนัยส�าคัญทางสถิติที่ หญิง 17คน (ร้อยละ 56.67) เพศชาย 13 คน (ร้อยละ
ระดับ 0.05 (ตารางที่ 3) 43.33) มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป 14 คน (ร้อยละ 46.67)
2. ด้านผู้รับบริการ ส�าเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษา 12 คน (ร้อยละ
ผู้ป่วย กลุ่มตัวอย่าง จ�านวน 30 คน เป็นเพศ 40.00) ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์แผนปัจจุบันว่า