Page 66 - วารสารการแพทย์แผนไทย ปีที่ 20 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2565
P. 66

264 วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ ทางเลือก      ปีที่ 20  ฉบับที่ 2  พฤษภาคม-สิงหาคม 2565




           จะท�าการศึกษาในหนูเพศผู้และมีวัตถุประสงค์ในการ  ก็ตามยังคงต้องมีปริมาณของเอสโตรเจนในกระแส
                                                                                             [17]
           ดูขนาดต่อมลูกหมากและระดับฮอร์โมนเพศผู้ แต่ผล  เลือดที่เพียงพอเพื่อให้มีการหลั่งน�้านมได้เป็นปกติ
           ของการแสดงฤทธิ์ดังกล่าวอาจส่งผลในเพศเมียได้     ได้มีการศึกษาผลของเอสโตรเจนต่อปริมาณ
           เช่นกัน เนื่องจาก 5แอลฟา-รีดักเทส นั้นมีผลต่อการ  โปรแลคตินที่น่าสนใจในหนูทดลองที่ถูกตัดรังไข่ พบ
           เมแทโบไลต์ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (testosterone)   ว่าเมื่อฉีดเอสโตรเจนในรูปแบบของเอสตราไดออล

           ให้กลายเป็นไดไฮโดรเทสโทสเตอโรน [dihydrotes-   เบนโซเอต (estradiol benzoate) ขนาดต่าง ๆ วันละ
           tosterone (DHT)] ในทางทฤษฎีเมื่อ 5แอลฟา-รีดักเทส   1 ครั้ง เป็นเวลานาน 6 วัน หนูทดลองที่ถูกตัดรังไข่ที่
           ถูกยับยั้งจะท�าให้ปริมาณของเทสโทสเตอโรนสูง  ได้รับเอสโตรเจนในขนาด 0.1, 1.0, 5.0 ไมโครกรัม

           ขึ้นเป็นสารตั้งต้นท�าให้เกิดการสร้างเอสตราไดออล   ซึ่งเป็นเอสโตรเจนในระดับต�่า จะมีระดับโปรแลคติน
           (estradiol) สูงขึ้นตามไปด้วย ในประเด็นนี้ได้มีการ  ในเลือดเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยส�าคัญถึง 2, 3 และ 10
           ศึกษาผลของการใช้ยาฟิแนสเตอไรด์ (finasteride)   เท่าตามล�าดับ ในขณะที่หนูทดลองที่ได้รับเอสโตร

           ซึ่งเป็นยาต้านเอนไซม์ 5แอลฟา-รีดักเทส พบว่าสตรี  เจนขนาดสูงที่ 10-500 ไมโครกรัมกลับมีการเพิ่มขึ้น
                                                                                   [18]
           ที่ได้รับยาฟิแนสเตอไรด์ขนาด 5 มิลลิกรัม/วัน เป็น  ของโปรแลคตินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น   ส�าหรับการ
           เวลา 6 เดือนและ 12 เดือน มีระดับเอสตราไดออล  ทดลองในมนุษย์นั้นมีการศึกษาในกลุ่มชายที่แปลง
           ในเลือดสูงขึ้นอย่างมีนัยส�าคัญ  ยังมีการศึกษา  เพศเป็นหญิง พบว่ากลุ่มตัวอย่างที่ได้รับเอสโตรเจน
                                    [14]
           ผลของการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนทดแทนในสตรี      เสริมจนมีระดับเอสโตรเจนในเลือดสูงถึง 10,000

           วัยหมดประจ�าเดือนและตรวจวัดระดับฮอร์โมน     พิโคกรัม/มิลลิลิตร มีระดับโปรแลคตินเพิ่มขึ้นได้ถึง
                                                                                 [19]
           โปรแลคติน (prolactin) พบว่าการใช้ฮอร์โมน    3-4 เท่า อย่างมีนัยส�าคัญทางสถิติ  การกระตุ้นการ
           เอสโตรเจนทดแทนในขนาด 0.320, 0.624 และ 1.25   หลั่งน�้านมด้วยเอสโตเจนในปริมาณที่เหมาะสมนี้ถูก
           มิลลิกรัมต่อวันเป็นเวลา 21 วัน จะส่งผลให้ระดับ  น�ามาใช้ในการกระตุ้นการหลั่งน�้านมในวัวนมด้วย [20]
           โปรแลคตินสูงขึ้นอย่างมีนัยส�าคัญทางสถิติจาก   กลไกการท�างานของฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกายนั้น

           5.3 ± 1.4 นาโนกรัม/มิลลิลิตร เป็น 12.6 ± 7.1 นาโน  มีความซับซ้อนค่อนข้างมาก แต่จากหลักฐานการ
                      [15]
           กรัม/มิลลิลิตร  ซึ่งในระหว่างการตั้งครรภ์นั้นระดับ  ศึกษาต่าง ๆ ที่กล่าวมาอาจเกี่ยวข้องกับการแสดงฤทธิ์
           เอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนในเลือดของหญิงตั้ง  กระตุ้นน�้านมของเถานมวัวที่แพทย์พื้นบ้านอีสานได้

           ครรภ์จะอยู่ในระดับสูง โดยเอสโตรเจนท�าให้เกิดการ  น�ามาใช้ในต�ารับยาบ�ารุงน�้านมต่าง ๆ
           พัฒนาของเนื้อเยื่อเต้านมเตรียมพร้อมส�าหรับการ     ส�าหรับผลของยาประสะน�้านม “ต�ารับพ่อขาว
           ให้นมหลังคลอดในระหว่างนี้ฮอร์โมนโปรแลคตินจะ  เฉียบแหลม’’ ต่อระดับยอดมดลูกนั้นในช่วงแรก

           ถูกยับยั้งไม่ให้มีการหลั่งออกมาโดยโปรเจสเตอโรน    ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยส�าคัญทางสถิติเมื่อเทียบ
           และเมื่อคลอดแล้วระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและ    กับกลุ่มควบคุม แต่มาพบความแตกต่างกันอย่างมี

           โปรเจสเตอโรนจะลดต�่าลงอย่างรวดเร็วการยับยั้งการ  นัยส�าคัญทางสถิติ (p < 0.05) ในวันที่ 14 โดยกลุ่ม
           หลั่งฮอร์โมนโปรแลคตินก็จะยุติลงและเมื่อถูกกระตุ้น  ทดลองที่ได้รับยาจะมีระดับยอดมดลูกที่ 1.50 ± 2.52
           ด้วยการดูดของทารกน�้านมก็จะหลั่ง  แต่อย่างไร  เซนติเมตร และกลุ่มควบคุมมีระดับยอดมดลูกที่
                                        [16]
   61   62   63   64   65   66   67   68   69   70   71