Page 110 - วารสารกรมการแพทย์แผนไทยฯ ปีที่ 17 ฉบับที่ 2
P. 110
248 วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ ทางเลือก ปีที่ 17 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2562
แล้วไปกระทบให้ธาตุลมหย่อนส่งผลให้ธาตุนำ้ากำาเริบ จะระสำ่าระสาย แต่ยังไม่กระทบถึงธาตุนำ้า อาจเข้ากษัย
ตะกรันกรีสังเริ่มสะสมเนื่องจากธาตุนำ้าหยุดนิ่งจาก เพลิง เตโชกษัย หากปล่อยไว้ไม่รักษา ธาตุไฟ ธาตุลม
การไม่มีธาตุลมไปขับเคลื่อน แล้วธาตุไฟจะระสำ่าระ และธาตุนำ้าจะระสำ่าระสายหมด ร่างกายอ่อนเพลียมาก
ส่าย ธาตุลมจะระสำ่าระส่ายตาม กระทบถึงธาตุนำ้า จาก สมองไม่ปลอดโปร่ง เสมหะเริ่มเน่าเสีย มีกรีสัง
[20]
นั้นจึงพัฒนาต่อเป็นธาตุไฟ ธาตุลม และธาตุนำ้าจะระ สะสมในธาตุดิน เข้าเขตการเป็นกษัยต่าง ๆ [10, 15]
สำ่าระส่ายทั้งหมด อุทริยังและกรีสังจะส่งผลกระทบต่อ พระคัมภีร์สมุฏฐานวินิจฉัยกล่าวถึงพัฒนาการ
ธาตุดินให้วิปริตเจ็บป่วยไป [10,15] ของโรคว่าเป็นชาติ จลนะ และภินนะ แต่มิได้กล่าวถึง
อาการในแต่ละขั้นของพัฒนาการว่าเป็นอะไรบ้าง มี
อ�ก�รและก�รดำ�เนินโรค เพียงพระคัมภีร์ธาตุวิวรณ์ที่ได้แยกแยะอาการตาม
พระคัมภีร์สมุฏฐานวินิจฉัยกล่าวว่าธาตุทั้งสี่จะ พัฒนาการโดยได้กล่าวถึงอาการไข้เอกโทษและ
เกิดการวิปริตไปเป็นชาติ จลนะ และภินนะ จากเหตุ ทุวันโทษ ความเครียดกระทบต่อธาตุไฟและลม อาการ
แห่งวิปริตซึ่งเป็นพัฒนาการของโรคจากเอกโทษไป จึงเป็นไปตามธาตุไฟและธาตุลมที่กำาเริบ เมื่อทิ้งไว้ไม่
ทุวันโทษและตรีโทษในที่สุด ในพระคัมภีร์โรคนิทาน รักษาหรือไม่สามารถขจัดความเครียดได้ ลมจะกำาเริบ
ธาตุวิภังค์ ธาตุวิวรณ์ และวรโยคสารได้กล่าวถึงอาการ มากขึ้น อาการจะไต่ขึ้นไปข้างบน โดยในพระคัมภีร์
ต่าง ๆ ของธาตุทั้งสี่ [17-18] พระคัมภีร์กษัยได้กล่าวถึง ธาตุวิวรณ์ ได้กล่าวถึงพัฒนาการของอาการที่คล้ายกับ
กษัยต่าง ๆ พระคัมภีร์ชวดารและฉันทวาตปฏิสนธิได้ ของโรคเครียดไว้ในสมุฏฐานโรค 3 ประการว่า วาตะ
กล่าวถึงอาการของลมประเภทต่าง ๆ [17,19] ส่วนพระ สมุฏฐานก่อให้เกิดอาการนำาโดยในตอนเย็นเมื่อทาน
คัมภีร์สิทธิสาระสงเคราะห์ได้กล่าวถึงอาการสันนิบาต อาหารแล้ว ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ลมตีขึ้นสูงเสียด
ต่าง ๆ ความเครียดส่งผลกระทบให้ธาตุไฟกำาเริบ แทงขึ้นเบื้องบน นอนไม่หลับแต่จะเกิดในเดือน 9, 10,
[16]
เป็นชาติเตโช กระทบต่อให้ลมกำาเริบ มีอาการอืด เฟ้อ 11 และ 12 ซึ่งเป็นวาตะสมุฎฐาน เป็นการอ้างถึงคัมภีร์
เรอเหม็นเปรี้ยว กระทบต่อให้ธาตุนำ้าหย่อน หากปล่อย สาโรชบท โดยอาการจะคล้ายกับโรคกรดไหลย้อน
ไว้ไม่รักษา ธาตุนำ้าที่หย่อนจะกระทำาให้ธาตุไฟยิ่ง จากนั้นจะมีการพัฒนาจนมีอาการไต่ตามขึ้นไปด้าน
กำาเริบ เป็นจลนะเตโช มีอาการปากแห้ง คอแห้ง ลืม บนคือ เจ็บแน่นอก คอแห้ง ปากแห้ง ปวดศีรษะ เวียน
ง่าย จิตใจระสำ่าระสายกระทบให้ธาตุลมกำาเริบ เป็นจล หน้าตา และอาการขนลุกขนชัน ในใจให้เคืองเข็ญ
นะวาโย มีอาการหวาดวิตก ขวัญอ่อน ปากแห้ง คอแห้ง เป็นการอ้างถึงคัมภีร์สังคหะ ซึ่งท้ายสุดเป็นอาการ
ไม่อยากอาหาร อาจเข้ากษัยลมและกษัยกล่อนลม หวาดวิตก หวาดกลัวในเรื่องต่างๆ อาการทั้งหมดข้าง
[20]
ได้ อาจกระทบต่อให้ธาตุนำ้าหย่อน หากปล่อยไว้ไม่ ต้นมีเหตุจากจากวาตะสมุฏฐาน อาการจะพัฒนา
[17]
รักษา ธาตุไฟจะเริ่มหย่อน ส่งผลให้ธาตุนำ้ากำาเริบ เป็น จาก ชาติ เป็นจลนะ และภินนะ โดยจะเป็นโรคต่าง ๆ
จลนะอาโป มีอาการ ปวดศีรษะ วิงเวียน ถ่ายวันละ ตามพระคัมภีร์กษัย หากเข้ากษัยแล้วต้นเหตุจะเกิด
หลายครั้งเป็นอุจจาระอ่อน นอนผวา อาจเข้าเขต จากการสะสมของตะกรันของเสีย จนเป็นโรคกษัย
[20]
กษัยนำ้าและกษัยกล่อนนำ้าได้ แล้วธาตุนำ้าจะหย่อนลง ต่าง ๆ สังเกตได้จากนำ้ากระสายยาที่กล่าวในพระคัมภีร์
หากปล่อยไว้ไม่รักษา ธาตุไฟจะระสำ่าระสาย ธาตุลม นี้ส่วนใหญ่จะเป็นนำ้ากระสายยาที่มีคุณสมบัติในการ