คำถามที่พบบ่อย - กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
การคุ้มครองภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย
กองคุ้มครองภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยและพื้นบ้านไทย โทรศัพท์ 0 2149 5607-8
พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542
สำนักกฎหมายและจริยธรรม โทร. 02 965 9372
1. เป็นการยื่นคำร้องเพื่อขอจดสิทธิแสดงความเป็นเจ้าของในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย (ตำรับยาและตำรากรแพทย์แผนไทย) มิใช่การขอขึ้นทะเบียนยาเพื่อผลิต และจำหน่าย
2. การยื่นคำร้องขอจดทะเบียนสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยส่วนบุคคล
2.1 หน่วยงานที่รับผิดชอบได้แก่
1.1.1 กองคุ้มครองภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยฯ ส่วนภูมิภาค
1.1.2 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด 76 จังหวัด
2.2 ขั้นตอนการพิจารณา
2.2.1 คณะทำงานพิจารณา
2.2.2 คณะอนุกรรมการพิจารณา
2.2.3 เสนออธิบดีพิจารณาลงนาม
2.3 ระยะเวลาการคุ้มครองสิทธิ ตลอดอายุของผู้เป็นเจ้าของ+50 ปีหลังจากเสียชีวิต
1. ปัจจุบันมีประกาศกระทรวงเรื่องสมุนไพรควบคุมได้แก่ กวาวเครือ
2. ผู้ใดต้องการขนย้าย หรือครอบครองกวาวเครือนอกเหนือจากเงื่อนไขในประกาศให้ทำการแจ้งนายทะเบียนกลาง และนายทะเบียนจังหวัด พร้อมเอกสารตามประกาศกำหนด
3. อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อประกาศสมุนไพรควบคุมเพิ่มเติม
1. ตำรับยาและตำราการแพทย์แผนไทยของชาติ หมายถึงตำรับยาและตำราการแพทย์แผนไทยมีประโยชน์หรือมีคุณค่าในทางการแพทย์หรือการสาธารณสุขเป็นพิเศษ
2. ผู้ใดประสงค์นำตำรับยาและตำราการแพทย์แผนไทยของชาติไปใช้ประโยชน์เพื่อทางการค้า ต้องดำเนินกาเพื่อยื่นคำร้องการขอเข้าใช้ประโยชน์และแบ่งปันผลประโยชน์ตามกฎหมายกำหนด โดยสามารถดำเนินการผ่านสำนักงานนายทะเบียนกลาง (กรมฯ) และสำนักงานนายทะเบียนจังหวัด (สสจ.)
สามารถแบ่งออกเป็น
1. การจดสิทธิบัตรยา ซึ่งต้องยื่นคำร้องการขอสิทธิบัตรไปยังกรมทรัพย์สินทางปัญญา ภายใต้เงื่อนไขและกฎเกณฑ์สากลในการให้สิทธิบัตร และได้รับความคุ้มครองภายใต้พระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2542 โดยมีกระทรวงพาณิชย์ที่เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบ
2. การขอขึ้นทะเบียนยา เป็นการขอขึ้นทะเบียนโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการผลิตยา โดยหน่วยงานผู้รับผิดชอบได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
3. การขอจดสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยส่วนบุคคล เป็นกระบวนหนึ่งในการคุ้มครองภายใต้ พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ.2542
1 การคุ้มครองภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย มุ่งเน้นไปที่การรักษาผลประโยชน์ของประชาชน และผู้เป็นเจ้าของ/ถือครอง ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย ซึ่งสามารถนำมาต่อยอดเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ
2. เพิ่มทางเลือกของประชาชนในการดูแลสุขภาพ และได้รับการบริการด้านสุขภาพที่นอกเหนือจากยาแผนปัจจุบัน
3. ส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพร/ยาแผนไทย ทดแทนการใช้ยาแผนปัจจุบันซึ่งจะช่วยลดรายจ่ายของภาครัฐ และภาระของประชาชนต่อไปด้วย
แตกต่างกัน ลิขสิทธิ์นั้นเป็นการคุ้มครองผู้สร้างสรรค์โดยผลของกฎหมาย ไม่ต้องจดทะเบียน สิทธิบัตรเป็นการจดทะเบียนสิทธิคุ้มครองการประดิษฐ์หรือออกแบบขึ้นมาใหม่ แต่สิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยนั้น เป็นการจดทะเบียนเพื่อคุ้มครองสิทธิในภูมิปัญญาดั้งเดิม ได้แก่ ตำรับยา ตำราการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน ที่มีอยู่มาก่อนแล้ว
ผู้มอบให้จะได้รับค่าตอบแทนจากการใช้ประโยชน์ทั้งหมดโดยไม่ต้องให้รัฐ
รัฐเป็นผู้ได้รับค่าตอบแทน
จะมีประกาศ ณ สำนักงานนายทะเบียนกลาง คือ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และสำนักงานนายทะเบียนจังหวัด คือ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง (มาตรา 24)
บุคคลนั้นต้องยื่นคำคัดค้านต่อนายทะเบียนพร้อมทั้งแสดงหลักฐานภายใน 60 วัน นับแต่วันประกาศโฆษณา (มาตรา 29)
ตำรับยาหรือตำราการแพทย์แผนไทยที่มีการจดทะเบียนแล้ว นายทะเบียนจะรวบรวมและประกาศไว้ที่สถาบันการแพทย์แผนไทยและสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด หากผู้ใดต้องการทราบข้อมูลก็สามารถตรวจสอบได้
เจ้าของสูตรตำรับ/ตำรานั้น สามารถดำเนินการขอจดทะเบียนสิทธิที่สำนักงานทะเบียนกลาง คือ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงธารณสุข ได้
คู่กรณีจะต้องนำคดีไปสู่ศาลภายใน 90 วัน นับแต่สิ้นระยะเวลาที่นายทะเบียนกำหนด ถ้าไม่นำคดีไปสู่ศาลภายในกำหนดเวลาดังกล่าว นายทะเบียนก็จะยกเลิกคำขอจดทะเบียนของบุคคลเหล่านั้น (มาตรา 26)
กฎหมายไม่ได้จำกัดสิทธิดังกล่าวไว้ ผู้ทรงสิทธิจึงสามารถให้ผู้อื่นสามารถใช้สิทธิดังกล่าวได้ตามแต่จะเห็นควร
ยื่นฟ้องต่อศาลและสามารถเรียกค่าสินไหมทดแทนความเสียหายได้
การระงับใช้สิทธิจะเกิดขึ้นต่อเมื่อผู้ทรงสิทธิถูกนายทะเบียนสั่งเพิกถอนการใช้สิทธิ ตามมาตรา 37 หรือผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการฟ้องต่อศาลขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและอยู่ในขั้นตอนของการสืบสวนข้อเท็จจริง ในขั้นตอนนี้ผู้ทรงสิทธิที่ถูกคัดค้านยังคงได้รับการคุ้มครองอยู่ แต่จะต้องหยุดการดำเนินการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิภูมิปัญญาที่กำลังสอบสวน ผู้อื่นจะมาขอจดทะเบียนสิทธิซ้ำไม่ได้
กรณีที่ผู้ทรงสิทธิถูกเพิกถอนการจดทะเบียนสิทธินั้น มาตรา 40 กำหนดให้สามารถดำเนินการจดทะเบียนสิทธิได้ใหม่ แต่ต้องพ้นกำหนดหนึ่งปี นับแต่วันที่นายทะเบียนมีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนแล้ว และในช่วงระยะเวลาหนึ่งปีนั้นกฎหมายจะคุ้มครองสิทธิที่ถูกเพิกถอนดังกล่าวไว้เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ทรงสิทธิที่ถูกเพิกถอนดำเนินการจดทะเบียนสิทธิอีกครั้งหนึ่ง อันเป็นเจตนารมณ์ของกฎหมายที่จะคุ้มครองสิทธิความเป็นเจ้าของภูมิปัญญา
นายทะเบียนมีอำนาจที่จะเพิกถอนการจดทะเบียนได้ถ้าหาก
1.) ผู้ทรงสิทธิได้ใช้สิทธิโดยขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
2.) ผู้ทรงสิทธิได้ฝ่าฝืนหรือมิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขหรือข้อจำกัดที่นายทะเบียนกำหนดการรับจดทะเบียนสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยนั้น
3.) ผู้ทรงสิทธิได้ใช้สิทธิอันอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียอย่างร้ายแรงต่อภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยที่ได้จดทะเบียนไว้ (มาตรา 37)
ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการอาจฟ้องต่อศาลขอให้เพิกถอนได้ (มาตรา 38)